การตรวจสภาพรถยนต์ก่อนต่อภาษี เป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่หลายคนอาจมองว่าเป็นภาระที่ต้องทำทุกปี แต่จริง ๆ แล้วการตรวจสภาพรถนั้นสำคัญมากกว่าที่คิด ไม่ใช่แค่เพียงเป็นการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ยังช่วยให้การเดินทางปลอดภัย ลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุจากรถยนต์ที่เสื่อมสภาพลง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว แล้วยังช่วยลดมลพิษทางอากาศอีกด้วย
รถยนต์ประเภทใดบ้างที่ต้องตรวจสภาพ
ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ได้กำหนดไว้ว่า รถยนต์ที่ต้องเข้ารับการตรวจสภาพก่อนต่อภาษีประจำปี ได้แก่
- รถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ที่มีอายุการใช้งานครบ 7 ปี ขึ้นไป
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 ที่มีอายุการใช้งานครบ 7 ปี ขึ้นไป
- รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ที่มีอายุการใช้งานครบ 7 ปี ขึ้นไป
ซึ่งอายุการใช้งานของรถยนต์ จะเริ่มนับจากวันที่จดทะเบียน จนถึงวันที่ครบรอบกำหนดเสียภาษีประจำปี ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์คันนี้จดทะเบียนเมื่อปีพ.ศ. 2561 ดังนั้นเมื่อถึงปีพ.ศ. 2568 เจ้าของรถต้องนำรถยนต์ไปตรวจสภาพก่อนต่อภาษีประจำปีนั่นเอง
ตรวจสภาพรถยนต์ที่ไหนได้บ้าง
เจ้าของรถสามารถนำรถยนต์ไปตรวจสภาพได้ด้วยกัน 2 แห่งนั่นก็คือ
- สถานตรวจสภาพรถเอกชน : หรือที่เรียกกันว่าตรอ. ซึ่งเป็นสถานที่ที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก ให้ดำเนินการตรวจสภาพยนต์ได้อย่างถูกกฎหมาย ยกเว้นรถดัดแปลงบางประเภทที่ต้องไปตรวจสภาพที่กรมการขนส่งทางบกเท่านั้น
- กรมการขนส่งทางบก : ผู้ขับขี่สามารถนำรถเข้ามาตรวจสภาพได้ทุกชนิด รวมถึงประเภทของรถที่ไม่สามารถตรวจที่ตรอ.ได้ เช่น รถดัดแปลงสภาพจนไม่เหมือนกับที่จดทะเบียนไว้ หรือ รถที่มีปัญหาเกี่ยวกับการโจรกรรมแล้วเพิ่งได้รับคืน
ตรวจสภาพรถยนต์ต้องเตรียมอะไรบ้าง
- เตรียมเอกสาร : โดยเอกสารที่ต้องใช้ในการตรวจสภาพรถยนต์ก็คือสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ (เล่มทะเบียนตัวจริงหรือสำเนา) และบัตรประชาชนของเจ้าของรถ
- เตรียมค่าธรรมเนียม : ไม่ว่าจะนำรถไปตรวจที่ตรอ.หรือกรมการขนส่งทางบกก็มีอัตราค่าบริการเท่ากัน โดยค่าธรรมเนียมจะถูกคิดตามน้ำหนักของรถยนต์ ซึ่งมีค่าบริการดังนี้รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าไม่เกิน 1,600 กิโลกรัม คันละ 150 บาท
รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าเกิน 1,600 กิโลกรัม คันละ 250 บาท
ขั้นตอนการตรวจสภาพรถยนต์
กระบวนการตรวจสภาพรถยนต์มักใช้เวลาไม่นาน และประกอบไปด้วยขั้นตอนหลัก ดังนี้
1. ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
โดยเจ้าหน้าที่จะทำการเช็กว่ารถยนต์ที่นำมาตรวจสภาพตรงกับข้อมูลที่ระบุไว้ในในทะเบียนรถหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของรถ แผ่นป้ายทะเบียน เลขตัวถัง เลขเครื่องยนต์หรือชนิดเชื้อเพลิงที่ใช้
2. ตรวจสภาพรถยนต์ทั้งภายใน ภายนอกและใต้ท้องรถ
การตรวจภายในรถ เจ้าหน้าที่จะเช็กในส่วนของพวงมาลัย ระบบบังคับเลี้ยว แตร มาตรวัด ไฟสัญญาณ ที่ปัดน้ำฝน กระจกมองหลัง เข็มขัดนิรภัย ที่นั่งผู้ขับและที่นั่งผู้โดยสาร
การตรวจภายนอกรถ จะเป็นการเช็กบริเวณภายนอกของรถทั้งหมดเช่น สีรถยนต์ กันชน ไฟเลี้ยวไฟหรี่ต่างๆ บังโคลน โครงสร้างตัวถัง กระจกข้าง ประตู ไฟท้าย กงล้อและยางรถยนต์
การตรวจใต้ท้องรถ จะเป็นการตรวจสอบระบบบังคับเลี้ยว ระบบรองรับน้ำหนัก สปริง โช็คอัพ อุปกรณ์ระบบห้ามล้อ ครัทซ์ เกียร์ ระบบไอเสีย ระบบเชื้อเพลิงและอื่นๆ
3. ตรวจศูนย์ล้อหน้า
เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของล้อหน้าระหว่างขับขี่ ทดสอบโดยการวิ่งรถเป็นแนวตรงผ่านเครื่องทดสอบด้วยความเร็วประมาณ 3-5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากนั้นจึงทำการปล่อยมือจากพวงมาลัยเพื่อดูค่าเบี่ยงเบนที่เกิดขึ้น ซึ่งผลที่ถือว่าผ่านเกณฑ์คือ ต้องมีค่าเบี่ยงเบนล้อหน้าไม่เกิน +5 หรือ -5 เมตรต่อกิโลเมตร
4. ทดสอบระบบเบรก
เพื่อวัดประสิทธิภาพการทำงานของเบรกเท้า เบรกมือ และผลต่างของเบรกเท้าด้านขวาและด้านซ้าย โดยทำการทดสอบผ่านลูกกลิ้งดังภาพด้านบน ซึ่งผลการตรวจที่ผ่านเกณฑ์คือ
- เบรกมือต้องมีแรงห้ามทุกล้อรวมกันไม่ต่ำกว่า 20% ของน้ำหนักรถ
- เบรกเท้าต้องมีแรงห้ามทุกล้อรวมกันไม่ต่ำกว่า 50% ของน้ำหนักรถ
- ผลต่างของเบรกเท้าด้านขวาและด้านซ้ายต้องไม่เกิน 25% ของแรงห้ามล้อสูงสุด
5. ตรวจวัดไฟหน้ารถ
เป็นการเช็กสภาพของโคมไฟว่าไม่มีการแตกร้าว ไม่ขุ่นมัว มีสี ตำแหน่ง ความสว่าง ความเข้ม และค่าเบี่ยงเบนของลำแสงถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด
6. ตรวจค่าคอร์บอนมอนอกไซด์ (Co) และไฮโดรคาร์บอน (Hc)
เพื่อเช็กว่ารถยนต์มีการปล่อยมลพิษในปริมาณที่เกินกำหนดหรือไม่ โดยทำการทดสอบผ่านการสอดหัววัดเข้าไปในท่อไอเสียในขณะที่เครื่องยนต์กำลังเดินเบาๆ ดังภาพตัวอย่างด้านบน ซึ่งจะวัดทั้งหมด 2 ครั้งแล้วทำการหาค่าเฉลี่ย โดยผลลัพท์ที่ผ่านเกณฑ์ตามประกาศกรมการขนส่งทางบกปี พ.ศ. 2566 คือ
- รถยนต์ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2556 ต้องมีค่าก๊าซ Co ไม่เกินร้อยละ 0.5 และ ก๊าซ Hc ไม่เกิน 100 ส่วนในล้านส่วน
- รถยนต์ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 ขึ้นไป ต้องมีค่าก๊าซ Co ไม่เกินร้อยละ 0.3 และ ก๊าซ Hc ไม่เกิน 100 ส่วนในล้านส่วน
7. ตรวจค่าควันดำ
ทดสอบโดยการเร่งเครื่องยนต์สุดคันเร่ง แล้วทำการเก็บค่าควันดำผ่านเครื่องมือวัดความทึบแสง (Opacity) และเครื่องมือวัดระบบกระดาษกรอง (Filter) โดยค่าควันดำที่เกิดขึ้นจำต้องไม่เกินร้อยละ 30 และ 40 ตามลำดับ
8. ตรวจวัดระดับเสียงจากท่อไอเสีย
โดยใช้เครื่องวัดระดับเสียงตามมาตรฐาน IEC ตรวจวัดขณะจอดอยู่กับที่และไม่มีการขนสัมภาระใดๆ ซึ่งค่ามาตรฐานที่ตรวจวัดได้ต้องไม่เกิน 100 เดซิเบล เอ
9. รอรับผล
เมื่อสิ้นสุดกระบวนการตรวจสภาพรถยนต์ หากผลการตรวจสอบผ่านเกณฑ์ เจ้าหน้าที่จะทำการพิมพ์ผลรายงานให้เจ้าของรถนำไปยื่นต่อภาษีได้เลย แต่ถ้าหากไม่ผ่านเกณฑ์ เจ้าหน้าที่จะทำการแจ้งว่ารถยนต์ไม่ผ่านเกณฑ์การตรวจสอบตรงไหน เพื่อให้เจ้าของรถนำรถไปซ่อมแซม เพื่อกลับมาตรวจสภาพรถใหม่อีกครั้ง
ตรวจสภาพรถยนต์ไม่ผ่านทำอย่างไร
หากผลการตรวจสภาพรถยนต์ไม่ผ่านเกณฑ์ ไม่ต้องกังวล เจ้าของรถสามารถนำรถไปซ่อมแซมในส่วนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ตามที่เจ้าหน้าที่แจ้งไว้ได้ โดยถ้าหากนำรถเข้าไปตรวจสภาพใหม่อีกครั้งภายใน 15 วันหลังการตรวจรอบแรก จะเสียอัตราค่าบริการเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของค่าธรรมเนียมปกติ แต่ถ้าหากเกิน 15 วันแล้ว จะเสียค่าบริการเต็มจำนวน
อย่าลืมเช็กว่ารถยนต์ของเราถึงเวลาตรวจสภาพแล้วหรือยัง ถ้าหากถึงเวลาแล้วก็เตรียมรถ เตรียมเอกสารให้พร้อม และดันลอปก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่เจ้าของรถและผู้ขับขี่ทุกท่าน ให้ผ่านกระบวนการตรวจสภาพรถยนต์ไปอย่างราบรื่น เพราะการดูแลรถยนต์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอไม่เพียงแต่ช่วยยืดอายุการใช้งาน แต่ยังเพิ่มความปลอดภัยให้กับตัวคุณและผู้ร่วมทางอีกด้วย