ยางรถยนต์ เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยให้รถยนต์สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างปลอดภัย ดังนั้น เมื่อยางเกิดปัญหาก็อาจนำไปสู่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นได้ เช่น ยางระเบิด ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมากต่อผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร รวมถึงผู้ใช้รถใช้ถนนท่านอื่น
บทความนี้ Dunlop จะพาคุณไปเจาะลึกถึงสาเหตุที่ทำให้ยางระเบิด สัญญาณเตือนหรืออาการที่บ่งบอกว่ายางอาจจะระเบิดในไม่ช้า และวิธีป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น เพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
ยางระเบิด คืออะไร?
ยางระเบิด คือ สภาวะที่ยางรถยนต์แตกออกจากกันอย่างรุนแรงขณะใช้งาน ซึ่งยางระเบิดเกิดจากหลายสาเหตุ และมักส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุที่ร้ายแรงหากเกิดขึ้นขณะขับขี่
สาเหตุที่ทำให้ยางระเบิด
- ความดันลมในยางต่ำเกินไป : เมื่อยางขาดความดัน จะทำให้ยางร้อนขึ้น และอาจระเบิดได้
- ความดันลมในยางสูงเกินไป : การอัดลมในยางมากเกินไป จะทำให้ยางแข็ง และอาจแตกได้ง่ายเมื่อเจอกับแรงกระแทก
- ยางเสื่อมสภาพ : ยางที่สึกหรอ ร้าว หรือมีบาดแผล อาจระเบิดได้ง่าย
- บรรทุกน้ำหนักเกิน : การบรรทุกน้ำหนักเกินจะทำให้ยางรับน้ำหนักไม่ไหว และอาจระเบิดได้
- ขับรถเร็วเกินไป : การขับรถด้วยความเร็วสูง จะทำให้ยางร้อนขึ้นและเสียดสีกับพื้นถนนมากขึ้น ทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็วขึ้นและอาจระเบิดได้
- เศษวัตถุแทงทะลุยาง : เช่น ตะปู หรือเศษแก้ว อาจทำให้ยางรั่วและระเบิดได้
- ความร้อนสูง : การขับรถเป็นเวลานาน หรือขับรถในสภาพอากาศร้อนจัด อาจทำให้ยางร้อนเกินไปและระเบิดได้
สัญญาณเตือน หรืออาการยางระเบิด
สัญญาณเตือน หรืออาการยางระเบิด ส่วนใหญ่มักได้ยินเสียงหอน เสียงดังก้อง หรือเสียงดังกึกกักขณะขับขี่ โดยเฉพาะเมื่อขับผ่านพื้นผิวถนนที่ไม่เรียบ รวมถึงพวงมาลัยหรือตัวรถสั่นสะเทือนผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง
วิธีป้องกันยางระเบิด
ยางระเบิด เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และอาจก่อให้เกิดอันตรายได้หากเกิดขึ้นขณะขับขี่รถยนต์ ดังนั้น การรู้จักวิธีป้องกันยางระเบิด ก็จะสามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงได้ ซึ่งวิธีป้องกันยางระเบิด มีดังนี้
-
ตรวจสอบความดันลมในยางเป็นประจำ
ความดันลมที่ถูกต้องช่วยให้ยางรับน้ำหนักได้ดี ไม่ร้อนเกินไป และยืดอายุการใช้งานของยาง ซึ่งวิธีตรวจสอบจะใช้เครื่องวัดความดันลมตรวจสอบความดันลมในยางทุกเดือน หรือตามระยะทางที่ผู้ผลิตกำหนด ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบค่าความดันลมที่เหมาะสมสำหรับรถของเราจากคู่มือรถ หรือป้ายข้อมูลที่ติดอยู่ที่ประตูคนขับได้เอง
-
ตรวจสอบสภาพยางเป็นประจำ
ตรวจสอบดอกยางว่าสึกหรอมากเกินไปหรือไม่ ดอกยางที่สึกหรอเกินไปจะทำให้การยึดเกาะถนนลดลง รวมถึงตรวจสอบรอยร้าว บวม หรือรอยปูดบนตัวและขอบยาง หากพบรอยดังกล่าวควรเปลี่ยนยางใหม่ทันที และอย่าลืมที่จะตรวจสอบว่ามีวัตถุแปลกปลอม เช่น ตะปู ก้อนกรวด ติดอยู่ภายในยางหรือไม่ด้วย
-
สลับยางตามระยะทางที่กำหนด
การสลับยางจะช่วยให้ดอกยางสึกหรออย่างสม่ำเสมอ และยืดอายุการใช้งานของยาง ซึ่งเราสามารถตรวจสอบระยะทางที่เหมาะสมในการสลับยางจากคู่มือรถ หรือสอบถามจากช่างก็ได้
-
หลีกเลี่ยงการบรรทุกน้ำหนักเกิน
การบรรทุกน้ำหนักเกินจะทำให้ยางรับน้ำหนักมากเกินไป และอาจทำให้ยางร้อนและระเบิดได้ ดังนั้น จึงควรตรวจสอบน้ำหนักบรรทุกให้เหมาะสมกับความสามารถของรถ
-
ขับรถด้วยความเร็วที่เหมาะสม
การขับรถเร็วเกินไปจะทำให้ยางเสียดสีกับพื้นถนนมากขึ้น ทำให้ยางร้อนและเสื่อมสภาพเร็วขึ้น เราจึงควรปฏิบัติตามกฎจราจรและขับรถด้วยความเร็วที่เหมาะสมกับสภาพถนน
-
หลีกเลี่ยงการขับรถบนถนนที่ขรุขระ
การขับรถบนถนนที่ขรุขระจะทำให้ยางได้รับแรงกระแทกและอาจเกิดความเสียหายได้ ดังนั้น คุณจึงควรเลือกเส้นทางที่สภาพถนนดี หากจำเป็นต้องขับผ่านถนนที่ขรุขระจริงๆ ก็ควรขับด้วยความเร็วต่ำ
-
เปลี่ยนยางเมื่อถึงอายุการใช้งาน
ยางมีอายุการใช้งานประมาณ 40,000 กิโลเมตร หรือ 4-5 ปี (ขึ้นอยู่กับการขับขี่) เมื่อครบกำหนดแล้วควรเปลี่ยนยางทันที แม้ว่าสภาพภายนอกจะดูดี หรือดอกยางจะยังไม่หมดก็ตาม
-
เลือกใช้ยางที่มีคุณภาพ
ยางที่มีคุณภาพจะทนทานต่อการใช้งานและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า ดังนั้น เราจึงควรเลือกยางที่เหมาะสมกับสภาพการใช้งานของรถควบคู่ไปด้วย
ยางระเบิด เคลมประกันได้ไหม?
ต้องบอกว่า การเคลมประกันนั้นจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและประเภทของประกันรถยนต์ที่เราทำ ซึ่งการเคลมประกันรถยนต์กรณีที่ยางระเบิดจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สาเหตุที่ทำให้ยางระเบิด ประเภทของประกันที่ทำ และเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย
1. กรณียางระเบิด ที่เคลมประกันได้
- อุบัติเหตุ : หากยางระเบิดเนื่องจากอุบัติเหตุ เช่น รถชน หรือเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ยางเสียหายโดยตรง ประกันภัยส่วนใหญ่จะคุ้มครองค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนยางใหม่
- แรงกระแทกจากภายนอก : หากยางระเบิดเนื่องจากแรงกระแทกจากภายนอก เช่น รถชนวัตถุ หรือวัตถุตกลงมาใส่รถ ประกันภัยก็จะคุ้มครองเช่นกัน
- ความผิดพลาดของชิ้นส่วนอื่นๆ : หากยางระเบิดเนื่องจากความผิดพลาดของชิ้นส่วนอื่นๆ ของรถ เช่น ระบบช่วงล่างเสียหาย ทำให้ยางเสียรูปทรงและระเบิด ประกันภัยอาจคุ้มครองได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในกรมธรรม์
2. กรณียางระเบิด ที่เคลมประกันไม่ได้
- การสึกหรอตามอายุการใช้งาน : หากยางระเบิดเนื่องจากการสึกหรอตามอายุการใช้งาน หรือการใช้งานที่ผิดวิธี เช่น ขับรถเร็วเกินไป บรรทุกน้ำหนักเกิน ประกันภัยส่วนใหญ่จะไม่คุ้มครอง
- การเจาะทะลุจากวัตถุแหลมคม : หากยางระเบิดเนื่องจากถูกวัตถุแหลมคม เช่น ตะปู เจาะทะลุ ประกันภัยอาจไม่คุ้มครอง หรือคุ้มครองเพียงบางส่วน
- ความผิดพลาดของผู้ขับขี่ : หากยางระเบิดเนื่องจากความผิดพลาดของผู้ขับขี่ เช่น ขับรถชนขอบฟุตบาท หรือหลบหลีกสิ่งกีดขวางไม่ทัน ประกันภัยอาจไม่คุ้มครอง
สรุปแล้ว ยางระเบิดเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดและอาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงขณะขับขี่รถยนต์ได้ ฉะนั้นการดูแลรักษายางรถยนต์ให้ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นยางรถยนต์ทั่วไป ยางรถบรรทุก หรือแม้กระทั่งยางรถตู้ ทุกคันควรได้รับการดูแลเอาใจใส่ไม่แพ้กัน เพื่อความปลอดภัยของทั้งตัวรถและตัวคุณ