หนึ่งในปัญหาที่หลายคนมองข้าม แต่กลับส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในการขับขี่อย่างมาก ก็คือ “ปัญหายางรถยนต์แข็ง” นั่นเอง ดังนั้น หากคุณอยากให้รถยนต์ของคุณอยู่ในสภาพที่ดี และปลอดภัยต่อการใช้งาน ต้องมาอ่านบทความนี้กันเลย!
ยางแข็ง อาการที่บ่งบอกถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่
ยางแข็ง คือ สภาวะที่ยางรถยนต์สูญเสียความยืดหยุ่นและความนิ่มนวลไป ทำให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนลดลง
แล้วอาการยางแข็ง อันตรายไหม?
ยางแข็ง ถือเป็นหนึ่งในสภาวะที่เป็น อันตราย ต่อการขับขี่อย่างมาก เพราะเมื่อยางแข็งดอกยางจะไม่สามารถเกาะถนนได้ดี ทำให้รถเสียการควบคุมได้ง่าย โดยเฉพาะในขณะเข้าโค้งหรือเบรกกะทันหัน รวมทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดไฮโดรเพลนนิ่งด้วย
* ไฮโดรเพลนนิ่ง (Hydroplaning) เป็นสภาวะที่ยางรถยนต์สูญเสียการยึดเกาะกับพื้นถนนที่เปียก ทำให้รถลื่นไถลออกไปนอกเส้นทาง จนอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ *
อาการที่บ่งบอกว่ายางของคุณอาจแข็งตัว
- ดอกยางแข็งตัว : ดอกยางจะแข็งและไม่ยืดหยุ่นเหมือนเดิม ทำให้การระบายน้ำและการยึดเกาะถนนลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพถนนเปียก
- เสียงดังขณะขับขี่ : ยางที่แข็งจะส่งเสียงดังกึกกักขณะขับขี่บนพื้นผิวขรุขระ เนื่องจากดอกยางไม่สามารถดูดซับแรงกระแทกได้ดี
- รู้สึกถึงความกระด้าง : คุณจะรู้สึกได้ถึงความกระด้างและความแข็งของช่วงล่างมากขึ้นขณะขับขี่
- ระยะเบรกเพิ่มขึ้น : ยางที่แข็งจะทำให้ระยะเบรกเพิ่มขึ้น เนื่องจากการยึดเกาะถนนลดลง
- การควบคุมรถลดลง : ยางที่แข็งจะทำให้การควบคุมรถทำได้ยากขึ้น โดยเฉพาะในขณะเข้าโค้งหรือหลบหลีกสิ่งกีดขวาง
- อายุการใช้งานสั้นลง : ยางที่แข็งจะเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และอาจทำให้เกิดการแตกลายหรือร้าวได้
สาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้ยางแข็งตัว
ยางแข็งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับรถยนต์ทุกคัน และนับเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ดังนั้น หากคุณกำลังสงสัยว่าทำไมยางของคุณถึงแข็งตัว ลองมาดูสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดปัญหานี้กัน
-
อายุการใช้งาน
ยางรถยนต์ทุกเส้นมีอายุการใช้งานที่จำกัด โดยเฉลี่ยประมาณ 3-5 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร แม้ว่าจะยังมีดอกยางเหลืออยู่ก็ตาม
-
สภาพอากาศ
อุณหภูมิที่สูงหรือต่ำเกินไป สามารถทำให้ยางเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่มีอากาศร้อนจัด
-
การใช้งานที่ไม่เหมาะสม
การบรรทุกน้ำหนักเกิน : การบรรทุกน้ำหนักเกินจะทำให้ยางสึกหรอและแข็งตัวเร็วขึ้น
การขับขี่ด้วยความเร็วสูง : การขับขี่ด้วยความเร็วสูงเป็นเวลานานจะทำให้ยางร้อนและเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
การขับขี่บนพื้นผิวที่ขรุขระ : การขับขี่บนพื้นผิวที่ขรุขระเป็นเวลานานจะทำให้ยางสึกหรอและเสียหาย
-
ความดันลมในยางไม่เหมาะสม
การเติมลมในยางน้อยหรือมากเกินไป จะส่งผลให้ยางสึกหรอไม่สม่ำเสมอและแข็งตัวได้เร็วขึ้น
-
คุณภาพของยาง
ยางที่มีคุณภาพไม่ได้ตามมาตรฐานหรือผลิตจากวัสดุที่ไม่ดี จะมีอายุการใช้งานที่สั้นกว่าและเสื่อมสภาพได้ง่ายกว่า
-
การเก็บรักษาที่ไม่ถูกต้อง
การเก็บรถไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงหรือสัมผัสกับสารเคมี อาจทำให้ยางเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น
วิธีป้องกันและแก้ยางแข็ง
ยางแข็ง เป็นปัญหาที่ส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่อย่างมาก การดูแลรักษายางให้มีสภาพดีจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง และต่อไปนี้คือวิธีป้องกันและแก้ไขปัญหายางแข็ง เพื่อให้คุณขับขี่ได้อย่างปลอดภัย
- ตรวจสอบอายุการใช้งานของยาง : ควรตรวจสอบอายุการใช้งานของยางเป็นประจำ โดยทั่วไปยางรถยนต์มีอายุการใช้งานประมาณ 3-5 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร หากเกินอายุการใช้งาน ควรเปลี่ยนยางใหม่ทันที
- ตรวจสอบสภาพของยาง : ตรวจสอบดอกยาง ความดันลมในยาง และรอยร้าวหรือบาดแผลที่อาจเกิดขึ้นเป็นประจำ
- รักษาความดันลมในยางให้เหมาะสม : ตรวจสอบและปรับความดันลมในยางให้เป็นไปตามค่าที่ระบุไว้ในคู่มือรถยนต์ หรือป้ายสติกเกอร์ที่ประตูคนขับ
- หลีกเลี่ยงการใช้งานที่ไม่เหมาะสม : อาทิ การบรรทุกน้ำหนักเกิน การขับขี่ด้วยความเร็วสูงเป็นเวลานาน และการขับขี่บนพื้นผิวที่ขรุขระ
- เลือกใช้ยางที่มีคุณภาพ : เลือกใช้ยางจากผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงและมีคุณภาพมาตรฐาน
- สลับยางตามระยะ : การสลับยางทุก 6 เดือน หรือ 10,000 กิโลเมตระจะช่วยให้ยางสึกหรออย่างสม่ำเสมอ
- จอดรถในที่ร่ม : การจอดรถในที่ร่มจะช่วยป้องกันยางจากแสงแดดและความร้อน
อย่างไรก็ตาม หากคุณสงสัยว่ายางรถยนต์ของคุณเริ่มแข็ง คุณควรปรึกษาช่างผู้ชำนาญการเพื่อทำการตรวจสอบและเปลี่ยนยางใหม่ทันที โดยเฉพาะยางรถกระบะที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เพราะผู้ขับขี่รถกระบะมักจะขับขี่ด้วยความเร็วสูงและบรรทุกน้ำหนักเกินบ่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลต่ออายุการใช้งานของยางรถยนต์นั่นเอง